งานประเพณีสรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย
(แปดเป็ง)
ประเพณีนี้แสดงถึงความยึดมั่นในพระพุทธศาสนาและพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะของประชาชน ด้วยการแสดงคารวะต่อพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ยังแสดงถึงความร่วมมือร่วมใจของคนในครอบครัวและชุมชน มาร่วมสักการะบูชาองค์พระธาตุร่วมกัน พร้อมกับแสดงความยินดีปรีดา ด้วยการแสดงตีกลองหลวง ฟ้อนพื้นเมือง แห่ครัวทานเพื่อนมัสการและสักการะพระบรมธาตุ
งานประเพณีสลากภัต
และสลากย้อม
- สลากภัต
ประเพณี“สลากภัต” เป็นการถวายทานโดยไม่เจาะจงผู้รับ
เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลและยังปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
กำเนิดของประเพณีสลากภัตมีตำนานเล่าขานว่า
ในสมัยพุทธกาลมีนางยักษิณีตนหนึ่ง มีนิสัยชอบเบียดเบียนผู้คนอยู่เสมอ แต่ครั้นหลังจากได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยักษ์ตนนี้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงเปลี่ยนนิสัยมาเป็นยักษ์ผู้โอบอ้อมอารีคอยช่วยเอื้อเฟื้อแบ่งปันผู้อื่น เป็นที่ซาบซึ้งใจแก่ผู้คนทั่วไป พวกเขาจึงนำสิ่งของมาแบ่งปันให้กับนางยักษ์ตนนี้อย่างมากมาย จนนางยักษ์ต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาถวายให้แก่พระภิกษุ-สามเณรอีกทีหนึ่ง ด้วยการทำเป็นสลากให้จับ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เนื่องจากข้าวของที่นางยักษ์ได้มาที่มูลค่าสูง-ต่ำ แตกต่างหลากหลายกันออกไป...จนกลายเป็นความเชื่อที่ทำเกิดประเพณีสลากภัตในกาลต่อมา
กำเนิดของประเพณีสลากภัตมีตำนานเล่าขานว่า
ในสมัยพุทธกาลมีนางยักษิณีตนหนึ่ง มีนิสัยชอบเบียดเบียนผู้คนอยู่เสมอ แต่ครั้นหลังจากได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยักษ์ตนนี้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงเปลี่ยนนิสัยมาเป็นยักษ์ผู้โอบอ้อมอารีคอยช่วยเอื้อเฟื้อแบ่งปันผู้อื่น เป็นที่ซาบซึ้งใจแก่ผู้คนทั่วไป พวกเขาจึงนำสิ่งของมาแบ่งปันให้กับนางยักษ์ตนนี้อย่างมากมาย จนนางยักษ์ต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาถวายให้แก่พระภิกษุ-สามเณรอีกทีหนึ่ง ด้วยการทำเป็นสลากให้จับ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยุติธรรม เนื่องจากข้าวของที่นางยักษ์ได้มาที่มูลค่าสูง-ต่ำ แตกต่างหลากหลายกันออกไป...จนกลายเป็นความเชื่อที่ทำเกิดประเพณีสลากภัตในกาลต่อมา
ประเพณีสลากภัต หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่า “ตานก๋วยสลาก” หรือมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นแตกต่างกันไป อาทิ
กิ๋นก๋วยสลาก กิ๋นสลาก ตานสลาก ตานข้าวสลาก ประเพณีนี้นิยมปฏิบัติกันในช่วงเดือน 12 เหนือถึงเดือนยี่เหนือ
หรือในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมตามเดือนสากลของทุกปี
โดย 1 วัน ก่อนงานพิธีสลากภัตจะเป็น“วันดา” หรือ “วันสุกดิบ” ชาวบ้านจะจัดเตรียมข้าวของต่างๆทั้งของกินของใช้มาสำหรับจัดใส่ในก๋วยสลาก
ครั้นพอถึงวันงานสลากภัต จะมีการนำ“ก๋วย” ที่หมายถึง “ตะกร้า” หรือ “ชะลอม” ใส่ข้าวของต่างๆมาทำทานถวาย ร่วมด้วย สลากอื่นๆ เช่น สลากวัว สลากควาย สลากเทวดา รวมไปถึง “สลากโชค” ที่เป็นการนำเงินและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เช่น เสื้อผ้า หมอน เสื่อ บุหรี่ เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้งต่างๆ ฯลฯ มาผูกมัดติดกับต้นสลากขนาดย่อมที่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม สูงราว 5-6 เมตร
โดย 1 วัน ก่อนงานพิธีสลากภัตจะเป็น“วันดา” หรือ “วันสุกดิบ” ชาวบ้านจะจัดเตรียมข้าวของต่างๆทั้งของกินของใช้มาสำหรับจัดใส่ในก๋วยสลาก
ครั้นพอถึงวันงานสลากภัต จะมีการนำ“ก๋วย” ที่หมายถึง “ตะกร้า” หรือ “ชะลอม” ใส่ข้าวของต่างๆมาทำทานถวาย ร่วมด้วย สลากอื่นๆ เช่น สลากวัว สลากควาย สลากเทวดา รวมไปถึง “สลากโชค” ที่เป็นการนำเงินและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เช่น เสื้อผ้า หมอน เสื่อ บุหรี่ เครื่องนุ่งห่ม อาหารแห้งต่างๆ ฯลฯ มาผูกมัดติดกับต้นสลากขนาดย่อมที่มีการตกแต่งอย่างสวยงาม สูงราว 5-6 เมตร
- สลากย้อม
สำหรับที่จังหวัดลำพูนงานสลากภัตประจำจังหวัดของที่นี่นับตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา ได้มีการนำประเพณี“สลากย้อม”ที่เริ่มสูญหายมาผนวกรวม
เป็นประเพณี“สลากภัตและสลากย้อม”ที่ดำเนินการจัดควบคู่กันไป
ประเพณีนี้นอกจากเป็นการถวายทานตามคติความเชื่อของงานสลากภัตแล้ว ยังเป็นการรวมต้นสลากย้อมจากหลากหลายชุมชนมาถวายและจัดงานที่วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร ศูนย์รวมจิตใจของชาวลำพูนก่อนเป็นลำดับแรกของทุกๆปี(นับตั้งแต่ปี 47 เป็นต้นมา) หลังจากนั้นจึงจะมีการจัดงานของสลากวัดอื่นๆเรื่อยไปตามการตกลงกันในแต่ละปีว่าวัดใดจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน จนถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 11 (เดือนเกี๋ยงเหนือ แรม 14 ค่ำ หรือ เดือนเกี๋ยงดับ)
สลากย้อม เป็นประเพณีที่มีพื้นเพมาจาก“ชาวยอง”(กลุ่มชาติพันธุ์ลื้อจากสิบสองปันนา
ก่อนจะอพยพมาอยู่ที่เมืองยองในพม่า
และย้ายมาตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานอยู่ในจังหวัดลำพูนอีกทีหนึ่งเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว
ปัจจุบันมีชาวยองอาศัยอยู่ในลำพูนกว่า 80%)
เดิมสลากย้อมเป็นการถวายทานเพื่อเป็นพุทธบูชาของหญิงสาว บางพื้นที่จำเพาะเจาะจงว่าต้องมีอายุ 20 ปีเท่านั้น ขณะที่บางพื้นที่ไม่จำเป็น ขอให้เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับอายุ 20 ปี (บวกลบ 2-3 ปี) แต่สิ่งที่เชื่อเหมือนกันก็คือ ต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่แต่งงาน โดยเชื่อว่าการถวายสลากย้อมของหญิงสาวจะได้รับอานิสงส์ผลบุญอย่างสูงยิ่งเทียบเท่ากับการบวชของผู้ชาย
งานเทศกาลลำไย
จังหวัดลำพูนเป็นจังหวัดที่การปลูกลำไยมากที่สุด
นับตั้งแต่ที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้รับพระราชทานลำไยจาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระราชชายาเจ้าดารารัศมีเห็นว่าลำไยมีรสหวานหอม
จึงได้นำเมล็ดมอบให้เจ้าน้อยตั๋นปลูกที่สวนบ้านสบแม่ข่า อำเภอหางดง
จังหวัดเชียงใหม่ เขตติดต่อกับอำเภอเมือง
จังหวัดลำพูนลำไยที่ปลูกจากเมล็ดที่บ้านเจ้าน้อยตั๋น
ได้กลายพันธุ์ทำให้ผลมีรสดีกว่าพันธุ์ดั้งเดิม
จึงมีการแพร่พันธุ์ลำไยไปปลูกในที่ต่างๆ รวมทั้งจังหวัดลำพูนด้วย
มีการนำไปปลูกที่บ้านหนองช้างคืน ตำบลหนองช้างคืน อำเภอเมืองลำพูน เป็นแห่งแรก
เป็นที่มาของลำไยขนาดใหญ่มากต้นหนึ่ง ซึ่งในแต่ละปีออกผลได้เงินหลายหมื่นบาท
จึงเรียกกันว่า “ลำไยต้นหมื่น” นับตั้งแต่นั้นมามีการปลูกลำไยอย่างแพร่หลาย
และมีการพัฒนาพันธุ์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น
เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ลำไยลำพูน
ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดลำพูน
จึงได้กำหนดจัดงานเทศกาลลำไย สนับสนุนสินค้าไทย หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
กิจกรรมในงานมีขบวนแห่ลำไยสุดอลังการ และการประกวดธิดาชาวสวนลำไย
การประกวดขับร้องเพลงไทยลูกทุ่ง การแข่งขันกินลำไย
และสามารถเลือกซื้อลำไยสดและผลิตภัณฑ์จากลำไยนานาชนิด ศูนย์จำหน่ายลำไย
พร้อมทั้งสินค้าเกษตรกรรม หัตถกรรมพื้นบ้าน และสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการวิชาการและเทคโนโลยีเกี่ยวกับเรื่องลำไย และการเกษตรอื่นๆ
การสาธิตการแปรรูปลำไยและผลิตภัณฑ์ OTOP หลากหลายรูปแบบ เรียกว่าทั้งสนุก
อิ่มอร่อย และยังได้ความรู้อีกด้วย ขึ้นชื่อว่าลำไยลำพูนแล้ว ไม่มีคำว่าผิดหวัง
ดั่งคำที่ว่า “กินลำไย ไปลำพูน”
งานแห่แคร่หลวง
ลอยกระทง อำเภอบ้านโฮ่ง
ประเพณีแห่แค่หลวงของจังหวัดลำพูน เป็นประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของจังหวัดลำพูน โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามในอำเภอบ้านโฮ่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำขวัญ ของอำเภอบ้านโฮ่งที่ว่า
“ ถ้ำหลวงงดงาม
ลือนามหอมกระเทียม ลำไยรสเยี่ยม พระเจ้าสะเลียมหวานเลิศล้ำ น้ำตกงามแท้
แค่หลวงงามตา บูชาพระเจ้าตนหลวง บวงสรวง พระบาทสามยอด”
แค่หลวงงามตา หมายถึง
ประเพณีการแห่แค่หลวง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้านอำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน
(อาจจะบอกได้ว่ามีแห่งเดียวในโลก) คำว่า “แค่” เป็นภาษาพื้นบ้านล้านนาไทย (ยังไม่มีการควบกล้ำอักษร)
มีลักษณะเป็นไม้มัดกำ ทำมาจากไม้ไผ่จักเป็นซี่ๆหรือไม้อย่างอื่นๆ ที่สามารถติดๆ
ไฟได้ง่าย
เป็นไม้แห้งๆนำมามัดเป็นกำรวมกัน ใหญ่กว่ากำมือเล็กน้อยยาวไม่เกิน ๑ เมตรหรือให้พอดีกับการถือ (คล้ายกับคำว่า “แคร่”ในพจนานุกรม หมายถึงที่นั่งหรือนอน
มัดทำด้วยฟากหรือไม่ไผ่ซี่ๆ
ถักติดกัน ฯลฯ) ประโยชน์ ในการใช้สอยไม้แค่ เนื่องจากล้านนาสมัยโบราณ
ไม่มีไฟฉายหรือตะเกียงจึงใช้ไม้แค่จุดไฟให้สว่างเพื่อส่องทางในเวลาค่ำคืน
เหมือนไต้ไฟหรือคบเพลิง เมื่อยามเทศกาลลอยกระทงในเดือนยี่เป็ง
ก็จะใช้ไม้แค่จุดไฟถวายเป็นพุทธบูชา ในสมัยล้านนาโบราณ ชาวบ้านได้กำหนดให้มีพิธีการ
แห่แค่ไปถวายพระสงฆ์ในวัดแล้วจุดถวายเป็นพุทธบูชา
ในวันยี่เป็งหรือวันเพ็ญเดือนสิบสอง อันเป็นพิธีหนึ่งในวัดลอยกระทงกล่าวคือ
ในตอนเช้าตรู่ของวันยี่เป็ง วัดทุกวัดจะมีการเทศน์มหาชาติ
ตอนสายจะมีการทำบุญตักบาตรและในตอนกลางคืน ชาวบ้านจะจัดทำต้นแค่ โดยจะช่วยกัน
ประดับตกแต่งด้วยโคมไฟหรือสิ่งต่างๆอย่างสวยงามแล้วตั้งขบวนแห่กันไปถวายพระสงฆ์ในวัดที่ตนศรัทธา
ต่อจากนั้นก็จะจุดไฟที่ต้นแค่ให้ลุกสว่างไสวไปทั่วบริเวณวัด เพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว
จึงไปลอยกระทงเพื่อบูชาพระแม่คงคาและปล่อยเคราะห์กรรมต่างๆ ให้ล่องลอยไปตามแม่น้ำ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมายาวนานประเพณีการจุดไม้แค่ก็ได้ถูกลืมเลือนไปในหลายที่หลายแห่ง
เพราะได้มีการนำเอาธูปเทียนหรือประทีปมาจุดแทน เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายและสะดวกกว่า
แต่ชาวอำเภอบ้านโฮ่งได้เล็งเห็นความสำคัญจึงยังคงมีการสืบสาน
และอนุรักษ์ประเพณีการจุดแค่เอาไว้ อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูญหายไป
ซึ่งกล่าวกันว่าในอดีตกาล วัดดงฤาษี ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ของ อ.บ้านโฮ่ง
มีฤาษีสองตนมาบำเพ็ญพรตอยู่ และความเชื่อกันว่า
นอกจากจะจุดแค่เพื่อเป็นพุทธบูชาแล้ว ยังจุดเพื่อบูชาพระฤาษีอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น